pexels julia m cameron 4143800 scaled

ในปัจจุบันนี้ไม่ว่าใครๆ ก็ทำงานง่ายขึ้น เพราะมีเครื่องมือยุคใหม่อย่างระบบ AI (ปัญญาประดิษฐ์) ช่วยให้เราแก้ไขปัญหาในการทำงานได้รวดเร็วกว่าเดิม เช่นเดียวกับคุณครูที่มีการนำ AI มาปรับใช้ในการทำงาน แต่สงสัยไหมว่า AI ทำงานแทนคุณครูในห้องเรียนได้หรือไม่ บทความนี้มีคำตอบ!

ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ระบบเทคโนโลยีบนโลกมนุษย์ถูกพัฒนาไปไกลอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด ทำให้มีเครื่องมือใหม่ๆ ผุดขึ้นมาอย่างมากมายให้เราสามารถหยิบไปปรับใช้ในการทำงานได้ ซึ่งอีกหนึ่งเครื่องมือที่ถูกพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพจนถูกนำมาช่วยเหลือในระบบการศึกษาคือ AI หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ปัญญาประดิษฐ์” ตัวช่วยดีๆ ที่ส่งเสริมให้การทำงานของคุณครูง่ายขึ้น ตั้งแต่การวางแผนการทำงาน ไปจนถึงการแก้ไขปัญหา

แต่ท่ามกลางความสะดวกสบายจากเครื่องมือ AI ที่คุณครูทั่วโลกเริ่มนำมาช่วยเหลือในการทำงาน หรือผลิตสื่อการสอนให้น่าสนใจ กลับทำให้ผู้คนในสังคมเกิดการตั้งคำถามว่าเครื่องมือ AI ฉลาดกว่าคุณครูหรือไม่? สามารถนำ AI มาทำงานแทนคุณครูในห้องเรียนได้หรือเปล่า จนกระทั่งเครื่องมือ AI จะส่งผลกระทบหรือเปลี่ยนแปลงอนาคตของอย่างศึกษาไปอย่างไร? บทความนี้จึงจะมาตอบความกังวล และคลายข้อสงสัยที่มีหลายคนอยากรู้กัน! 

มาแวะทำความรู้จักกันก่อน AI ที่หลายคนพูดถึง คืออะไรกันนะ ?

AI (Artificial Intelligence) หรือชื่อภาษาไทยที่เรียกว่า ปัญญาประดิษฐ์ คือระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถแสดงพฤติกรรมใกล้เคียงกับการรับรู้ของมนุษย์ สามารถเลียนแบบความสามารถของมนุษย์ที่ซับซ้อนได้ เช่น จดจำ แยกแยะ ให้เหตุผล ตัดสินใจ คาดการณ์ สื่อสารกับมนุษย์ ในบางกรณีอาจสามารถทำได้ถึงการเรียนรู้ด้วยตนเอง ส่งผลให้วงการดิจิทัลนำเทคโนโลยี AI เข้ามาพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานได้ประหนึ่งมนุษย์อย่างเป็นธรรมชาติ

ในเมื่อ AI เก่งขนาดนี้ สามารถทำงานแทนคุณครูได้หรือไม่ ?

คำตอบนี้เราขอเฉลยให้หายสงสัยกันเลยว่า “ไม่ได้แน่นอน” เพราะถึงแม้ว่า AI จะช่วยเพิ่มพูนความรู้ให้ก้าวทันโลกปัจจุบัน และช่วยทุ่นแรงการทำงานของคุณครูได้รวดเร็วขึ้นมากแค่ไหน แต่ในการเรียนการสอนจริงๆ แล้วรากฐานขององค์ความรู้จะต้องมาจากคุณครูที่คอยให้การดูแลเอาใจใส่นักเรียนแบบรายบุคคล เนื่องจากเด็กแต่ละคนมีความชอบ ความสนใจ และความถนัดในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ดังนั้นคุณครูจึงต้องคิดค้นรูปแบบการสอนที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน รวมถึงเหมาะกับแต่ละช่วงวัย ผ่านการดูแลผู้เรียนอย่างใกล้ชิดในชีวิตจริง 

สิ่งสำคัญที่ทำให้คุณครูทำงานได้ดีกว่า AI และเครื่องมือ AI เองก็ไม่สามารถเข้ามาทดแทนคุณครูในห้องเรียนได้ คือการที่ AI ไม่สามารถแสดงความเข้าใจและโต้ตอบความสงสัยของนักเรียนได้อย่างลึกซึ้ง รวมถึงไม่สามารถแสดงอารมณ์เข้าอกเข้าใจมนุษย์ หรือให้การอบรมทางความคิดหรือจิตใจของมนุษย์ได้อย่างแท้จริง จึงไม่ต่างอะไรกับการที่นักเรียนกำลังสื่อสารกับหุ่นยนต์หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนามาอย่างชาญฉลาด อีกทั้งยังสามารถค้นหาความรู้ได้ตามที่ต้องการ แต่ไม่สามารถสื่อสารกันได้อย่างเข้าใจในมิติที่หลากหลายเหมือนกับการได้พูดคุยกับคุณครูผู้สอนในห้องอย่างเป็นธรรมชาตินั่นเอง

และถึงแม้ว่า AI จะสามารถประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถเพิ่มพูนฐานความรู้ใหม่ๆ ที่ทันสมัยให้กับนักเรียนได้ แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ AI ยังคงมีข้อจำกัดด้านความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์ด้วยมุมมองที่สอดคล้องกับชีวิตจริง ดังนั้นเมื่อนักเรียนเกิดคำถาม AI จะทำหน้าที่ตอบด้วยสถิติของคลังข้อมูล ส่วนคุณครูในห้องเรียนจะมีส่วนสำคัญในการมองปัญหาในแง่มุมที่หลากหลายและเหมาะสมกับเด็กแต่ละบุคคลมากกว่า

เทคโนโลยี AI ช่วยให้คุณครูทำงานง่ายขึ้นได้อย่างไร ?

แน่นอนว่า AI ไม่สามารถเข้ามาทำงานแทนที่มนุษย์หรือคุณครูได้อย่าง 100% แต่ข้อดีของ AI ก็มีมากมายมหาศาลเช่นกัน เพราะในปัจจุบันระบบการศึกษาเองก็นำ AI เข้ามาช่วยในทำงานบางอย่าง ผ่านเครื่องมือออกแบบแผนการสอนดีๆ ที่ไว้วางใจได้ โดยแบ่งเป็น 4 ด้านที่น่าสนใจ ดังนี้ 

1. ด้านการวิเคราะห์การเรียนรู้ของนักเรียนแบบรายบุคคล

การนำ AI มาช่วยวิเคราะห์ว่าควรปรับปรุงแผนการสอนไปในทิศทางใด เช่นเครื่องมือ IBM Watson Education เครื่องมือ AI ที่ช่วยให้คุณครูวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างแม่นยำ และนำผลลัพธ์ที่ได้พัฒนาต่อยอดเป็นแผนการเรียนรู้ส่วนบุคคล รวมถึงส่งเสริมทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ให้กับเด็กๆ

2. ด้านการวางแผนบทเรียนอย่างเหมาะสม

AI สามารถช่วยให้คุณครูวางแผนการสอน และจุดประกายไอเดียวิธีมอบความรู้ให้เด็กๆ ได้อย่างรวดเร็วและสร้างเนื้อหาบทเรียนที่มีความน่าสนใจมากขึ้น เช่นเครื่องมือ ClassPoint ตัวช่วยสร้างแบบทดสอบนักเรียนในรูป PowerPoint ที่ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้คุณครูคิดค้นกิจกรรมในห้องเรียนได้น่าสนใจ พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นให้เด็กๆ อยากมีส่วนร่วมในการเรียนมากยิ่งขึ้น เป็นอีกหนึ่งวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้อย่างสนุกสนาน ไม่น่าเบื่อ อยากโต้ตอบอย่างเต็มใจ ทำให้คุณครูสามารถประหยัดเวลาในการวางแผนคิดค้นบทเรียนที่มีคุณภาพ และเหลือเวลามาใส่ใจเด็กนักเรียนที่อยู่ในการดูแลของตนเองมากยิ่งขึ้น เพราะวัยเด็กเป็นวัยที่คุณครูจะต้องทุ่มเทความสนใจว่าพวกเขามีความสนใจอะไร แล้วดึงแรงบันดาลใจนั้นมาต่อยอดเพื่อให้พวกเขาเติบโตอย่างเป็นตัวเองมากที่สุด ที่สำคัญเครื่องมือ ClassPoint ยังสามารถสร้างแบบทดสอบที่มีคุณภาพสูง เหมาะสมกับการเรียนรู้ของเด็กๆ อีกด้วย

3. ด้านการประเมินที่แม่นยำ

ข้อดีของ AI คือสามารถให้คำแนะนำได้ในทันที ช่วยให้คุณครูวางแผนปรับกลยุทธ์ในการพัฒนาผู้เรียนได้อย่างรอบด้าน เช่นเครื่องมือ Edulastic , Gradescope , Knewton , PracTutor เป็นต้น ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่กระชับเวลาการทำงานของคุณครูมากขึ้น

4. ด้านการจัดการชั้นเรียน

AI ช่วยให้ครูจัดการห้องเรียนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การติดตามนักเรียนที่ขาดเรียนในรูปแบบแชทบอทที่สามารถตอบคำถามพื้นฐาน และสังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วมของนักเรียน เช่นเครื่องมือ Classcraft , Hapara , Netop Vision เป็นต้น นับเป็นตัวช่วยที่ลดภาระงานของคุณครู แถมยังช่วยให้คุณครูนำผลลัพธ์ที่ได้ไปพัฒนาสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ให้ดีขึ้นได้เช่นกัน

pexels julia m cameron 4145038 scaled

คุณครูยุคใหม่จะเริ่มนำ AI มาปรับใช้ในการสอนได้อย่างไร ?

1. ลองนำเครื่องมือ AI บางตัวเข้ามาปรับมาใช้ในการทำงาน

ถ้ายังใช้งานเครื่องมือยุคใหม่ไม่ถนัด ก็ยังไม่ต้องหยิบมาทั้งหมดก็ได้! คุณครูสามารถค่อยๆ เรียนรู้เครื่องมือ AI ไปทีละนิด โดยการนำเครื่องมือบางตัวที่ใช้งานง่ายสำหรับตนเองเข้ามาช่วยในการทำงาน ก็จะค่อยๆ ต่อยอดการทำงานในอนาคตได้เอง

2. ค่อยๆ ทำความคุ้นเคยกับเครื่องมือ AI

เมื่อเรียนรู้เครื่องมือ AI ไปทีละนิด ก็จะค่อยๆ เกิดความคุ้นเคย เคล็ดลับคือคุณครูสามารถเข้าร่วม Workshop หรือการประชุมที่น่าสนใจ เพื่อนำความรู้เพิ่มเติมที่ได้จากเครื่องมือใหม่ๆ มาปรับใช้ในการทำงาน

3. ปรึกษา / พูดคุยกับคุณครูท่านอื่น เพื่อไอเดียใหม่ๆ 

หากไม่รู้จะเริ่มต้นใช้เครื่องมือไหนดี สามารถพูดคุยหรือขอคำแนะนำจากคุณครูท่านอื่นๆ เพื่อนำเคล็ดลับที่ได้มาพัฒนาแผนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แถมยังอาจได้ไอเดียการสอนใหม่ๆ ที่ช่วยให้คุณครูทำงานง่ายขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

4. ให้นักเรียนมีส่วนร่วมด้วยกัน

ถ้าคุณครูอยากรู้ว่านักเรียนพึงพอใจกับเครื่องมือนี้หรือไม่ สามารถถามความคิดเห็นพวกเขาเพื่อใช้ในการวางแผนในระดับต่อไปได้ และเพื่อที่จะรู้ว่าเครื่องมือนี้ได้ผล หรือไม่ได้ผล แล้วนำไปแก้ไขในครั้งต่อไป

5. ติดตามความคืบหน้าการเรียนการสอน

เมื่อทดลองใช้เครื่องมือไประยะหนึ่งแล้ว คุณครูควรติดตามผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นหรือไม่ เพื่อปรับกลยุทธ์การสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

อย่างที่เรารู้กันว่าเครื่องมือ AI ไม่สามารถทำงานแทนคุณครูในห้องเรียนได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าคุณครูใช้ประโยชน์จากมันโดยการนำเครื่องมือ AI เข้ามาปรับใช้ในการทำงานอย่างเหมาะสมจริงๆ ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระการทำงานในบางจุด เหลือเวลาอันมีค่าไปพัฒนาแผนการสอนอย่างมีคุณภาพมากขึ้น สามารถปรับปรุงแก้ไขปัญหาในการเรียนรู้ของนักเรียน รวมถึงสามารถกำหนดเป้าหมายการศึกษาในระดับที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และมีเวลาใส่ใจรายละเอียดของนักเรียนมากกว่าเดิม นำไปสู่การวางแผนพัฒนานักเรียนด้านอื่นๆ ในอนาคตได้ 


สามารถอ่านบทความเรื่องนี้เพิ่มเติมได้ที่ 10 วิธีที่ AI ถูกนำมาใช้ในการศึกษา